รูปเมฆบนผืนลม
เราเรียกเรื่องนี้ว่า นิยาย เขียนโดยเกาะไปกับรูปแบบกึ่งๆ บทบันทึก บอกเล่าสิ่งที่ผ่านเข้ามาในความคิดคำนึง อันเกี่ยวคล้องโยงถึงเรื่องที่เขียน ในแต่ละตอน บางภาพ พาย้อนยิ้ม..ใน วัน เดือน ปี ที่ผ่านเลย..
ผู้เข้าชมรวม
62
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
คราวที่มาของนิยายสักเรื่องหนึ่ง..
ผู้อ่านที่รัก,
รู้สึกชมชอบท่อนทักละไมงามคล้ายเคียงสำนวนแปลแบบนี้ แบบที่เพื่อนรักผู้หนึ่งใช้ขึ้นต้นจดหมาย มาถึงในทุกครั้ง..เอ่ยชื่อเล่นแล้วตามด้วย ที่รัก, เมื่อรับทักก็มักทักตอบด้วย..ยิ้มทางไกล กลับไปทุกครั้ง
แม้ไม่รู้ว่าผองผู้อ่านโดยรวมนั้น.. มี ลักษณ์ เช่นไร เราควรส่ง สาร ด้วยท่าทีแบบไหนดี แต่ก็ยินดีเล่า..ว่าเราเรียกผลงานนี้ว่า “นิยาย” ตั้งแต่ก่อนลงมือเขียน เพราะเพื่อนผู้เป็น ลูกพี่ ตั้งโจทย์ไว้ในคำชวน เรารับคำแล้วเริ่มวางพล็อต..รู้เลยว่าคงไม่ได้เดินเรื่องตาม “ขนบ” ใน “ทาง” ของนิยาย ออกจะ “ขบถ” ด้วยซ้ำ ลองให้นิยามดูเล่นๆ พอจะเป็นไปได้ไหม ว่านี่คือนิยายที่เล่าเรื่องโดยอาศัยรูปแบบการบันทึก ไม่นานนักกระบวนการทำงานบนเงื่อนไขของเวลาก็เปิดฉาก เราปรึกษาสนทนากับ เฮีย เป็นช่วงๆ รวมถึงขอความเห็นเรื่องการอธิบายบางคำเพิ่มเติมในตอนท้ายแต่ละบท จะได้สื่อสารกับนักอ่านรุ่นใหม่-ลูกเพจ “เฮีย” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราแหย่ประมาณนี้-เขาหัวเราะ, แล้วบอกทำนองว่า-ก็ใช่ดิวะ! ใส่ก็ดี..เส้นเรื่องและเวลาที่เล่ามันห่างกันคนละ“เจนฯ” Generation เล้ย! คงหมายถึง, ดีแล้วที่เราเข้าใจกลุ่มผู้อ่านของเขา และช่วยคิดหาวิธีทำงานให้ราบรื่น จุดประเด็นเป็นที่เฮฮา ในความเป็นฅนรุ่นอย่างพวกเราที่ยุคสมัยค่อยๆ ผ่านเราไป และผ่านไป(ยิ้ม)
“เฮีย..ว่ามั้ย, โลกนี้มันไม่ใช่โลกของเราแล้ว มันคือโลกของฅนหนุ่มสาว” ใช่, ส่วนใหญ่น่าจะเป็นทิศทางนั้น เขารับเรียบๆ ตามแนวของผู้ยินดีให้ค่าความเป็นมนุษย์แบบของเขา.. We trust in youth.
ถ้าอย่างนั้นเราขออุทิศ “รูปเมฆบนผืนลม” ให้แก่เยาว์วารอ่อนหวานที่เคยมีอยู่จริงในทุกฅน, ซึ่งมีวันต้องลับล่วงไป หวังว่ามุมงามสักมุมของเรื่องนี้อาจได้ยิ้มทัก และสัมผัสใจบางดวงทั้งที่เยาว์ใหม่..และที่ยังคงเยาว์งาม(ในวันวัยใดๆ ก็ตาม) ซึ่งมีจังหวะเต้นในระดับเดียวกันกับคาราวานอักษรที่เขาและเธอเปิดใจเสพย์รับและรู้สึกถึง..นี้ บางทีอาจมียิ้มบางรอย..ยิ้มทักตอบมาบ้างก็ได้
เราเขียนในสิ่งที่เรา “รู้สึกถึง” อย่างซื่อตรง สื่อสารในสีสันที่เราถนัดผสม ปาดป้ายคลุกเคล้าด้วย ระดับภาษาที่โยกโล้ไปมาทั้งในดินแดนภาษาพูด-ภาษาเขียน ซึ่งแตะโดนและเหนี่ยวโน้มหัวจิตหัวใจเราอย่างแท้จริงในแต่ละห้วงนึก แล้วบอกเล่าเท่าที่ตัวเองเป็น ในบริบทนี้, เราไม่เชื่อเรื่องพยายามจะเป็น หรือทำเกินกว่าที่ตัวเองเป็น และจะทำอย่างเต็มที่ไม่ให้น้อยกว่าที่สามารถจะเป็นได้นั้นเลย
“เรา” ใช้เป็นสรรพนามดำเนินเรื่อง ส่วน “ฉัน” ที่โผล่มาบ้างนั้นคือความจงใจ บอกให้อีกหน่อยว่า..เรื่องบางเรื่อง และฅนบางฅนมีอยู่จริง ทว่าในองค์รวมทั้งเนื้อหาและตัวละครล้วนถูกสร้างขึ้น โดยผสานประสมเรื่องนั้นเข้ากับบุคลิกของฅนนี้, ฅนโน้น ทำให้ดู “จริง” ทั้งที่สถานะแท้จริงคือ “เรื่องแต่ง” เมื่อเผยแพร่เป็นตอนๆ บนสื่อออนไลน์จนจบแล้ว เราย้อนมาแก้ไขใส่เติมอีกหลายส่วน อยากให้ชัดเต็มเข้มกว่าเดิม แต่กลับพบวงหน้าซื่อๆ แห่งความไม่สมบูรณ์ยังคงลอยคลออยู่ตลอดทั้งเรื่อง แล้วพยักยิ้มให้อย่างอ้อยอิ่ง จริงอยู่..วงหน้านี้สะท้อนฉายความไม่รู้รอบ ลักลั่น และขีดจำกัดของเรา แต่รอยยิ้มที่คอยคลออยู่ด้วยกันนั้นยังยืนยันความปรารถนาอันดีอย่างสุดใจตลอดการสื่อสารผ่านนิยายนี้
นี่คือผลงานที่ถูกเขียนขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง โดยฅนที่รินความรู้สึกบางตอนผ่านถ้อยคำที่เขาค่อยเรียงเล่าเกลากลึงด้วยความรัก สดจ้านที่สุดในห้วงเวลาหนึ่ง เท่าที่พอจะ เป็น และ มี
งานที่เขียนจบแล้วก็คล้ายปุยเมฆที่แลเห็นเป็นวงหน้าฅนอยู่ดีๆ มองอีกทีก็ลอยเลื่อนเปลี่ยนรูปไปแล้ว เหมือนไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวหรือเชื่อมโยงอะไรกับเราเลย คือจิตใจดวงใหม่ที่แยกไปเป็นตัวของเขาเอง เขาจะเดินทางไปได้ไกลเพียงไหน เปลี่ยนรูปลักษณ์อีกสักกี่หนกี่คราว ใครต่อใครจะมองเห็นว่าเขาเป็นอะไรต่อมิอะไรได้อีกไหมนั่น..เราคงไม่มีวันจะคาดนึกได้อย่างแม่นมั่นเลย (ยิ้ม)
มณีชน บุญทา ; ฤดูร้อน, มีนาคม ๒๕๖๐
เขียนซ้อมไว้เสมือนเป็นคำนำในรูปแบบหนึ่ง สำหรับนิยายเล่ม รูปเมฆบนผืนลม
ผลงานอื่นๆ ของ yurisun-say ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ yurisun-say
ความคิดเห็น